คอลเลคชั่นแคปซูลนาฬิกา CHANEL Blush, Part II
"ภาษาภาพของผลงานความงามจาก CHANEL ทั้งน่าหลงใหลและเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ในด้านกราฟิคที่ผมเองก็ถูกดึงดูดด้วยความสง่างาม ที่ทรงพลังของวัตถุเหล่านี้เช่นกัน โดยโครงสร้างที่ประณีตและรูปทรงเรขาคณิต ที่มีความโดดเด่นอย่างตั้งใจ ให้เกิดมิติความลึกของแลคเกอร์ สีดำที่ขับเน้นความเข้มข้นของสีแดงเข้ม หรือความอ่อนโยนของสีชมพู อันเป็นผลงานรังสรรค์ที่เป็นมิติแห่งความงาม ในแบบที่คล้ายกับการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นพาเลท”

“ดินสอ แปรง เม็ดสี และเนื้อสัมผัส ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกับศิลปะ แห่งการสร้างสรรค์นาฬิกาชั้นสูง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมหยิบยกแนวคิดของศิลปะแบบดริ๊ปปิ้งและป๊อบ (Dripping Art and Pop Art) มาใช้ แล้วทำไมเราจะไม่ “แต่งแต้มสีสันเหล่านี้ให้กับกาลเวลา” เพื่อขับเน้นความงามของเรือนเวลาบ้างล่ะ ซึ่งแนวคิดและวิสัยทัศน์เหล่านี้เอง ที่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของทั้งคอลเลคชั่นนี้" Arnaud Chastaingt ผู้อำนวยการสตูดิโอสร้างสรรค์นาฬิกากล่าว

คอลเลคชั่นแคปซูลนาฬิกา CHANEL Blush ได้รับแรงบันดาลใจจากพลังของพาเลทสี ที่สตูดิโอสร้างสรรค์เครื่องสำอางของ CHANEL ออกแบบไว้ จึงถือเป็นการสำรวจพลังสร้างสรรค์ของสีสัน และความเชี่ยวชาญของงานหัตถศิลป์ชั้นสูงอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสีชมพูที่แต่งแต้มบางเบา เฉดสีแดงที่ไล่ระดับอย่างประณีต พื้นผิวที่ประทับลายนูนราวกับอายแชโดว์ หรือสีที่สาดกระเซ็นอย่างอิสระ โดยเฉดสีต่างๆ ถูกนำมารังสรรค์เป็นผลงานที่มีชีวิตชีวา

เช่นเดียวกันกับนาฬิการุ่น J12 Pink Line ที่สามารถสะกดทุกสายตาได้ ด้วยการนำเอกลักษณ์ความงามของลิปสติกจาก CHANEL มาตีความใหม่ผ่านการผสมผสาน สีดำและสีชมพูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม โดยแซฟไฟร์สีชมพูเจียระไนทรงบาแก็ตต์จำนวน 215 เม็ดที่ประดับบนข้อมืออย่างเชี่ยวชาญ จะมอบความเรียบหรูให้กับซิลูเอตของนาฬิกา J12 ได้อย่างงดงาม พร้อมผสานเข้ากับความโดดเด่นจากการยกระดับ ของวัสดุเซรามิคซึ่งเป็นวัสดุเอกลักษณ์ของแบรนด์ ให้เปล่งประกายราวกับอัญมณีล้ำค่า

ด้วยการนำเซรามิกสีดำจำนวน 342 ชิ้นมาเจียระไนทรงบาแก็ตต์ แล้วประดับลงบนสายของนาฬิกา J12 เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเลิศของ CHANEL ในงานการประดับอัญมณีอย่างสมบูรณ์แบบ โดยต้องใช้เวลากว่า 300 ชั่วโมงในการจัดวางแซฟไฟร์สีชมพู และชิ้นส่วนเซรามิคสีดำอย่างประณีต โดยเหล่าช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญของ CHANEL รวมใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนครึ่ง ในการเจียระไนช่องสำหรับการฝังอัญมณี พร้อมการทำงานด้วยกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติคาลิเบอร์ 12.2 ที่แต่งแต้มแทนกลไกเป็นเฉดสีดำ

นอกจากนี้ยังมีนาฬิการุ่น Mademoiselle Privé Pincushion “Beauty Art” กับชิ้นงานนาฬิกาที่มีเพียงหนึ่งเดียว โดยนำเสนอในตัวเรือนวัสดุไทเทเนียมเคลือบสีดำ พร้อมด้านหลังตัวเรือนที่ผลิตจากเยลโลว์โกลด์ พร้อมขอบตัวเรือนสตีลเคลือบสีดำ ประดับแซฟไฟร์สีชมพูเจียระไนทรงบาแก็ตต์จำนวน 84 เม็ด น้ำหนักประมาณ7.50 กะรัต กับหน้าปัดเคลือบแลคเกอร์สีดำ ที่ผลิตจากแผ่นเยลโลว์โกลด์ และตกแต่งด้วยมือ พร้อมประดับด้วยไข่มุกเลี้ยงครึ่งซีกจำนวน 2 เม็ด และแซฟไฟร์สีชมพูจำนวน 2 เม็ด น้ำหนักประมาณ 0.06 กะรัต

รายล้อมด้วยเครื่องสำอางชิ้นสำคัญ ที่ผลิตจากเยลโลว์โกลด์เคลือบสีดำและอีนาเมล พร้อมสร้อยคอแบบย่อส่วนผลิตจากเยลโลว์โกลด์ ประดับเพชรเจียระไนทรงบริลเลียนท์จำนวน 10 เม็ด น้ำหนักประมาณ 0.07 กะรัต และไข่มุกจำนวน 14 เม็ด ล้อมรอบด้วยเพชรเจียระไนทรงบริลเลียนท์จำนวน 120 เม็ด น้ำหนักประมาณ 0.71 กะรัต และไข่มุกแบบย่อส่วนผลิตจากเยลโลว์โกลด์จำนวน 234 เม็ด ซึ่งทั้งหมดนี้ผลิตโดย LES CADRANIERS DE GENEVE ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของแบรนด์นาฬิกา FP JOURNE

นอกจากนี้ยังมีนาฬิการุ่น BOY·FRIEND “Coco Art” ที่เป็นการจารึกช่วงเวลาของ CHANEL ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ บนหน้าปัดที่แสดงภาพของมาดมัวแซล กำลังมองเงาสะท้อนของตัวเอง ผ่านกระจกตลับแป้ง โดยภาพของ Gabrielle Chanel บนฉากหลังนี้ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากศิลปะแนวป๊อปอาร์ต ที่ได้รับการถ่ายทอดด้วยเทคนิคแทมโปกราฟี ซึ่งต้องอาศัยการพิมพ์แบบประทับลาย ด้วยมือซ้อนทับกันถึง 12 ชั้นบนหน้าปัดที่ผลิตจากไวท์โกลด์ โดยเฉดสีอันสดใสของภาพพอร์ทเทรตนี้

โดยเฉพาะพื้นหลังสีชมพูที่สร้างขึ้น ด้วยเทคนิคการเคลือบอีนาเมลแบบกรองฟูว์ ได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบโดย LES CADRANIERS DE GENEVE โดยมีแซฟไฟร์เจียระไนทรงบาแก็ตต์จำนวน 38 เม็ดที่ผ่านการเลือกสรรจากความเจิดจรัส และเฉดสีชมพูอันเปล่งประกาย ที่นำไปประดับบนขอบตัวเรือน เพื่อเน้นความโดดเด่นให้กับภาพด้านข้างของ Coco Chanel และต่อมากับนาฬิการุ่น Secret Watch “Kiss Me” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากลิปสติก อันเป็นเอกลักษณ์ที่ CHANEL สร้างสรรค์ขึ้นในปี 1954

พร้อมการเปลี่ยนเครื่องสำอางประจำวัน ที่ขาดไม่ได้นี้ให้กลายเป็นอัญมณีล้ำค่า ในตัวเรือนดีไซน์ทรงแท่งลิปสติกเคลือบไทเทเนียมสีดำเงา ที่ซ่อนหน้าปัดเคลือบแลคเกอร์สีดำ ล้อมด้วยวงแหวนเยลโลว์โกล ประดับด้วยเพริลสีทองเปล่งประกาย ในดีไซน์ที่พิถีพิถันพร้อมกลไกการเปิด ที่แสนง่ายดายที่ทำให้ลิปสติกจำลองนี้ ดูสมจริงได้อย่างน่าทึ่งขึ้น พร้อมร้อยด้วยสายโซ่เยลโลว์โกลด์ ที่ตกแต่งด้วยแท่งออนิกซ์ขนาดเล็ก และลูกปัดโรโดไลท์ และยังเพิ่มความสง่างามขึ้นอีก ด้วยเพชรเม็ดกลางขนาด 0.70 กะรัต

รวมไปถึงนาฬิการุ่น Amulet Watch “Protect Me” ที่มาพร้อมการเล่นกับเงาสะท้อนสายตา ที่ให้ความลึกลับในแบบของ Gabrielle Chanel ที่เปรียบดั่งสัญลักษณ์แห่งการปกป้อง และได้รับการถ่ายทอดสู่ศูนย์กลางของนาฬิกาเครื่องรางนี้ ด้วยลวดลายสุดประณีตที่รังสรรค์ ด้วยเทคนิคกรองฟูว์อีนาเมลโดย LES CADRANIERS DE GENEVE และตกแต่งทั่วทั้งเรือนด้วยเพชรจำนวน 332 เม็ดในสีขาว สีเบจ และสีน้ำตาล ซึ่งใช้เวลาคัดสรรนานรวมถึง 5 เดือน โดยเฉพาะดวงตาที่ต้องใช้เวลาถึงกว่า 2 เดือน

และมาพร้อมหน้าปัดไวท์โกลด์ประดับด้วยเพชร โดยมีตัวเรือนที่ร้อยเข้ากับสายโซ่ที่ผลิตจากเยลโลว์โกลด์ เพชร และออนิกซ์ ร่วมกันกับนาฬิการุ่นสุดท้าย Talisman Watch “Give Me Luck” ที่มาจากพาเลตอายแชโดว์ของ CHANEL ที่ได้รับการยกระดับสู่จิวเวลรี่ ในรูปแบบของเครื่องรางอันล้ำค่าที่บอกเวลาได้ ทั้งยังชวนให้นึกถึงตลับเครื่องสำอางสีดำเงางาม ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยความงามในสองมิติ พร้อมความด้านหน้าโดดเด่นด้วยรูเบลไลท์ เจียระไนทรงคาโบชงสีแดงเชอร์รี่จำนวน 4 เม็ดน้ำหนักรวม 37 กะรัต

และทัวร์มาลีนสีชมพูจำนวนอีก 5 เม็ด ที่จัดเรียงในลวดลายแบบไบแซนไทน์ที่ Gabrille Chanel ชื่นชอบ ในขณะที่หน้าปัดทรงกลมที่ผลิตจากเยลโลว์โกลด์ พร้อมการประดับเพชรด้านหลัง ที่ตัดกันกับออนิกซ์ทรงสี่เหลี่ยมอย่างโดดเด่น เพื่อเป็นจี้พร้อมนาฬิกาที่ออกแบบมา ให้สวมใส่เป็นสร้อยคอได้อย่างสวยงาม และเข้าคู่กันกับสายโซ่เยลโลว์โกลด์ ที่แต่งแต้มด้วยออนิกซ์และเพชร เพื่อเสริมเสน่ห์ความน่าหลงใหล ให้กับกาลเวลาในสไตล์แบบ CHANEL ได้อย่างงดงามและทรงคุณค่าในทุกมุมมอง



