The Return of Casquette 2.0 by GIRARD-PERREGAUX
Casquette นาฬิการุ่นดั้งเดิมที่ผลิตขึ้นในช่วงปี 1976 ถึง 1978 โดย GIRARD-PERREGAUX ซึ่งมีนาฬิกาจำนวนเพียง 8200 เรือนที่ผลิตขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว และตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ นาฬิการุ่นนี้ได้กลายเป็นที่ตามหาอย่างมากของบรรดาผู้ซึ่งหลงใหลในนาฬิกา รวมทั้งผู้ที่ชื่นชอบในสไตล์และลุคอันโดดเด่นของนาฬิการุ่นนี้ ซึ่งในวันนี้ Casquette ได้หวนคืนสู่ตลาดอีกครั้งพร้อมชื่อ Casquette 2.0 ที่ไม่เพียงแค่โดดเด่นจากงานออกแบบในสไตล์รุ่นดั้งเดิม แต่ทว่ายังพิเศษด้วยวัสดุเซรามิคและไทเทเนียมเกรด 5 พร้อมกลไกควอท์ซชุดใหม่ที่เปี่ยมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานเพิ่มเติม และท้ายสุดกับตัวเรือนที่ออกแบบให้รับกับสรีระข้อมือ เพื่อความเหมาะสมและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน

โดยในปี 1976 GIRARD-PERREGAUX ได้เผยโฉม Casquette ในฐานะเรือนเวลาอันล้ำสมัยด้วยการแสดงค่าเวลา ด้วยหลอดแอลอีดีพร้อมกลไกควอท์ซ ภายใต้จิตวิญญาณของเครื่องบอกเวลาแห่งยุค 70s ที่แตกต่างไปจากนาฬิกาสองเข็มชี้แสดงเวลาตามแบบประเพณีทั่วไป ซึ่งทำให้แบรนด์ GIRARD-PERREGAUX ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1791 กลายเป็นที่สนใจในฐานะผู้นำแถวหน้า ของการแสดงเวลาด้วยกลไกควอท์ซ ด้วยระดับความถี่ในการทำงานที่32,768 เฮริท์ซ ที่ในเวลาต่อมานั้นได้ถูกนำไปใช้เป็นมาตรฐานสากลของบรรดานาฬิกาควอท์ซของแบรนด์ต่างๆ ในยุคนั้น ในตัวเรือนทั้งหมดสามแบบทั้งมาโครลอน (Makrolon® หรือโพลีคาร์บอเนต), แผ่นเยลโลโกลด์ และสตีล

อันที่จริงแล้วชื่อ Casquette นี้ไม่ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการเปิดตัวสู่ตลาดโดยใช้เพียง Ref. ตามปกติสำหรับแบรนด์นาฬิกา อย่างไรตาม บรรดานักสะสมนาฬิกาก็เริ่มที่จะตั้งชื่อเล่นนี้ขึ้น จากความชื่นชอบและหลงใหลให้กับนาฬิการุ่นนี้ว่า Casquette ซึ่งกลายเป็นฉายาที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในคำเรียกขานสำหรับผู้คนในแวดวงของผู้ที่รู้จักเครื่องบอกเวลาเสมอมา เพราะ Casquette ไม่เพียงแค่ใช้กลไกควอท์ซที่มีความเที่ยงตรงสูงเท่านั้น แต่ยังมีภาพลักษณ์ที่ฉีกออกจากกฎเกณฑ์ประเพณีดั้งเดิม ในสไตล์ของตัวเรือนอันล้ำสมัยที่เชื่อมโยง ถึงงานออกแบบอันทรงพลังของรถมัสเซิลคาร์ในยุค 70s พร้อมแสงจากแอลอีดีซึ่งดูคล้ายกับไฟท้ายของรถเหล่านี้นั่นเอง

ในปีนี้ Casquette กลับมาอีกครั้งพร้อมรหัสพ่วงท้ายว่า 2.0 ในตัวเรือนเซรามิคที่ป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี พร้อมฝาหลังไทเทเนียมเกรด 5 ซึ่งทั้งไทเทเนียมและเซรามิคนั้นต่างมีคุณสมบัติ ของการไม่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวพร้อมน้ำหนักที่เบา พร้อมปุ่มกดที่ผลิตจากไทเทเนียมเช่นกัน ที่รวมกันทำให้นาฬิการุ่นนี้มีน้ำหนักเบาเพียง 107 กรัม พร้อมกับการประดับด้วยโลโก้ GP สไตล์ย้อนยุค จากความร่วมมือของ Bamford Watch Department ที่ได้สร้างนาฬิกาแบบยูนีคพีซขึ้น เพื่อสนับสนุนงานประมูลการกุศล Only Watch โดยมีตัวเรือนที่ผลิตจากฟอร์จคาร์บอนและไทเทเนียม พร้อมปุ่มกดไทเทเนียม โดยสามารถจำหน่ายด้วยมูลค่าการประมูลที่สูงถึง 100,000 สวิสฟรังก์




