BA111OD Story, Rooted in 250 Years of Heritage
BA111OD เป็นมากกว่าแค่แบรนด์ แต่เป็นการสานต่อตำนานนาฬิกา ที่สืบสานมายาวนานกว่า 250 ปีจากการหยั่งรากลึกในเขตนูชาแตล โดยมีความเชื่อมโยงระหว่างตระกูล Baillod กับเรื่องราวของนาฬิกาที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1775 เมื่อ David François Baillod de St-Aubin ได้รับการบันทึกว่าเป็น มาสเตอร์ทางด้านการประกอบตัวเรือน (Maître monteur de boîte) และในตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา สมาชิกในครอบครัว Baillod ก็ฝากรอยประทับไว้ในโลกแห่งการประดิษฐ์นาฬิกามากมาย

ตั้งแต่การประดิษฐ์นาฬิการะดับสูง ไปจนถึงการสอนช่างฝีมือรุ่นต่อไป ตลอดในช่วงเวลาสำคัญๆ มากมายทางประวัติศาสตร์ โดยตั้งแต่ปี 1341 ที่หน้าต่างกระจกสีในโบสถ์โมติเยร์ (Môtiers) มีชื่อตระกูล Baillod ประทับอยู่พร้อมความเป็นตระกูล ที่เก่าแก่ที่สุดตระกูลหนึ่งในเขตนี้ จนในปี 1775 ที่ David François Baillod de St-Aubin ได้เซ็นสัญญาเพื่อการฝึกงานเป็น มาสเตอร์ทางด้านการประกอบตัวเรือน และในปี 1793 นาฬิกาที่ออกแบบโดย Jacques David Baillod แห่งเลอโลค

ได้ถูกสร้างขึ้นและมีการประมูลผ่านสำนักการประมูล ANTIQUORUM ไปในไม่นานมานี้ รวมไปถึงในปี 1888 ที่ Paul และ Charles Baillod ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าชื่อแบรนด์เป็นครั้งแรก และในปี 1914 ที่ Jean Baillod มีการจัดทำเอกสารทางเทคนิคขึ้นสำหรับนาฬิกาแบบโครโนมิเตอร์ รวมถึงในปี 1921 ที่ Jean Baillod ได้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านนาฬิกา และถ่ายทอดความเชี่ยวชาญของเขาสู่ผู้คนมากมาย ซึ่งสุดท้ายในปี 2019 กับ Thomas Baillod ผู้เปิดตัวชื่อแบรนด์ BA111OD อย่างเป็นทางการ

โดยมรดกเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานของ BA111OD ในปัจจุบันซึ่งเป็นแบรนด์สมัยใหม่ ที่สามารถเชื่อมโยงได้อย่างลึกซึ้งกับบรรดา มรดกในการผลิตนาฬิกาของนูเชอเตล กับจุดกำเนิดของ BA111OD ที่ Thomas Baillod จากลาโชซ์-เดอ-ฟองส์ ผู้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ในเรื่องราวของนาฬิกาอันยาวนาน จากนูเชอเตลเริ่มต้นสร้าง BA111OD ในโรงรถของเขา ซึ่งเดิมตั้งใจสร้างให้เป็นแพลตฟอร์มทดลอง เพื่อปฏิวัติการจำหน่ายนาฬิกา แต่ BA111OD กลับเติบโตอย่างรวดเร็ว

จนกลายเป็นแบรนด์สามารถเติบโตเต็มตัวได้อย่างรวดเร็ว จากแนวคิดของ BA111OD ที่นิยามการผลิตนาฬิกาใหม่ด้วยวี-คอมเมริ์ส (We-commerce) ซึ่งเป็นโมเดลที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยผสานแนวทางดั้งเดิมและทางดิจิทัลเข้าด้วยกัน ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจำหน่าย โดยลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นและให้ความสำคัญ กับประสบการณ์ของลูกค้าเป็นหลัก พร้อมความสำเร็จช่วงแรกจากการทดลองในปี 2019 และ2020 ที่มีการเปิดตัวนาฬิการุ่น Chapter 1 และ Chapter 2

ที่เป็นนาฬิกากลไกอัตโนมัติคุณภาพสูง ในราคาที่เอื้อมถึง พร้อมการออกแบบในสวิตเซอร์แลนด์และผลิตในเอเชีย พร้อมราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 400 ฟรังก์สวิส ซึ่งสามารถจำหน่ายได้จำนวนมากกว่าถึง 1,500 เรือนในปีแรก พร้อมยอดขายเป็นเงินถึงกว่า 1 ล้านฟรังก์สวิส สู่ลำดับต่อมากับการปฏิวัติชุดกลไกตูร์บิยองในปี 2021 ที่มีการเปิดตัวนาฬิกากลไกตูร์บิยอง ที่ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์รุ่นแรก พร้อมราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่า 5,000 ฟรังก์สวิส ที่ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของแบรนด์

จากการร่วมมือกันกับ Olivier Mory ช่างนาฬิกาชื่อดังและช่างฝีมือแห่งเทือกเขาจูรา เพื่อผสานงานฝีมือเข้ากับนวัตกรรมใหม่ โดยมียอดจำหน่ายนาฬิกาจำนวน 50 เรือนแรกได้ภายใน 24 ชั่วโมง และจำนวน 220 เรือนได้ภายในระยะเวลาเพียงสี่เดือน จนทำให้ BA111OD ตัดสินใจขยับขยายพื้นที่ด้านการผลิตสู่วิลล่าคาสเซิลเลน (Villa Castellane) ในปี 2022 อันเป็นอาคารเก่าแก่ในเนอชาแตล พร้อมการส่งสัญญาณการเติบโต จากแบรนด์ระดับสตาร์ทอัพสู่แบรนด์ระดับเอสเอ็มอี

พร้อมการขยายกำลังการผลิตเป็นจำนวน 2,000 เรือนต่อปี โดยเป็นจำนวนกว่า 70% ที่จำหน่ายในสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมการขยายแบรนด์ไปสู่ทั่วโลก โดยในปี 2023 ถึงปี 2024 BA111OD มีการเปิดตัวนาฬิกาคอลเลคชั่น CHPTR_A ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นนาฬิกาในแบบคอมพลิเคชั่นรุ่นแรก พร้อมการขยายฐานไปยังซูริค ปารีส บรัสเซลส์ และมิวนิค รวมทั้งช่องทางการจัดจำหน่ายแบบดั้งเดิม ไปพร้อมๆ กับการเปิดตัวนาฬิกาแบบเมเทียดาร์ (Métier D'Art) รุ่นแรกของแบรนด์ด้วยนาฬิกาแบบไตรภาค

ที่มาพร้อมชุดกลไกแบบตูร์บิยองเพื่อการฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ และเพื่อฉลองให้กับภูมิภาคนูเชอเตล อันงดงามของแบรนด์ในวันที่ 11.10.2024 ซึ่งถือเป็นการฉลองคุณค่าหลักของแบรนด์อันได้แก่ ความถูกต้อง ความกล้าหาญ และความเชี่ยวชาญ โดยนาฬิกาแต่ละเรือนได้รับแรงบันดาลใจ มาจากความงามและมรดกของนูเชอเตล จากวิวและทิวทัศน์โดยรอบ พร้อมการยกย่องประเพณีการผลิต นาฬิกาอันล้ำค่าของภูมิภาค โดยโลโก้ BA111OD จะมีการดัดแปลงให้มีคำว่า "Neuchâtel" ร่วมอยู่ด้วย





