Excellence Petite Seconde Guilloché
LOUIS ERARD กับนาฬิกาใน 2 โทนสีใหม่ที่มาพร้อมลวดลายกิโยเช่อันซับซ้อนบนหน้าปัด ในแบบความหรูหราของแบรนด์ระดับสูงที่สามารถเข้าถึงได้ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆ ในด้านการผลิต จากแนวคิดในการสร้างสรรค์นาฬิกาทุกเรือน ให้มีรหัสดีเอ็นเอในแบบของการผลิตนาฬิกาชั้นสูงเสมอ กับนาฬิกาในคอลเลคชั่น Excellence Petite Seconde ซึ่งเป็นนาฬิกาในรุ่นเริ่มต้นของคอลเลคชั่น Excellence ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ในปี 2020 ตามแบบและสไตล์ของนาฬิกาในแบบดั้งเดิม

พร้อมการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นก็คือการเพิ่มขนาดตัวเรือนเป็น 39 มิลลิเมตร ควบคู่กับตัวเรือนในขนาดเดิมที่ 42 มิลลิเมตร โดยช่วงหลายปีที่ผ่านมา นาฬิการุ่นนี้ได้ตอกย้ำสถานะของแบรนด์ ในฐานะนาฬิกาที่มีสไตล์อันคลาสสิค และร่วมสมัยได้อย่างแท้จริง ซึ่งมาพร้อมความสง่างาม เชื่อถือได้ และมีความโดดเด่นเหนือกาลเวลา ที่สามารถเป็นนาฬิกาคู่ใจได้ไปพร้อมกันอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีแม้ในรูปแบบที่เรียบง่ายหรือแหวกแนว พร้อมการแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายผ่านรูปแบบ

ของทั้งสีสัน วัสดุ อัญมณี ซึ่งรวมถึงงานการการผลิต ในแบบประเพณีดั้งเดิมของเทคนิคการเคลือบ ที่เรียกกันว่าอีนาเมล หรือแม้กระทั่งในเทคนิคการผลิตแบบดั้งเดิม ที่เป็นการแกะสลักชิ้นงานที่เรียกกันว่ากิโยเช่ เช่นเดียวกันกับนาฬิกาสองรุ่นนี้รูปแบบ 2 แบบที่ LOUIS ERARDชื่นชอบในการนำเสนอ โดยยังคงมุ่งเน้นในด้านการตกแต่ง เช่นเดียวกันกับนาฬิกาชั้นสูง พร้อมการคงไว้ซึ่งแรงบันดาลใจดั้งเดิมเสมอมา ซึ่งนั่นก็คือการทำให้ความรู้ ทางด้านเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้ง่ายกับทุกๆ คน

โดยนาฬิการุ่น Excellence Petite Seconde Guilloché ในขนาดตัวเรือนที่ 42 มิลลิเมตร จะมีหน้าปัดโทนสีดำแอนทราไซท์ และรุ่น Excellence Petite Seconde Guilloché ในขนาดตัวเรือน 39 มิลลิเมตร จะมีหน้าปัดโทนสีน้ำเงินแอนทราไซท์ โดยเทคนิคการผลิตนี้เกิดจากการทำงาน ในโบราณที่เฟื่องฟูมากช่วงศตวรรษที่ 18 ซึ่งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี จากช่างนาฬิกาผู้มีชื่อเสียงระดับโลกทั้งจาก Abraham-Louis Breguet และ Urban Jürgensen ในแนวคิดด้านความงดงาม รวมทั้งด้านการใช้งานไปพร้อมกันด้วย

มาพร้อมกับหน้าปัดใน 4 ส่วนโดยมีส่วนกลางที่จะดึงดูดสายตา ด้วยลวดลายที่เปล่งประกาย จากการตกกระทบของแสง บนความราบเรียบของหน้าปัด ที่ค่อยๆ มีความลึกลงเป็นคลื่นและค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากตรงส่วนกลาง ออกสู่รอบนอกอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งเอฟเฟกท์อันคลาสสิกของเทคนิคการแกะสลักนี้ จะเรียกกันว่าลวดลายแบบฟลิงเก้ (Flinqué) ที่จะกระทำได้ด้วยมือ บนเครื่องแกะที่หมุนแบบแมนนวลเท่านั้น โดยแผงในส่วนกลางนี้ จะถูกล้อมรอบแบบคลาสสิค เพื่อที่นำไปสู่ชุดแผ่นวงกลมชั่วโมง

ในขนาดที่ใหญ่ซึ่งปิดทับอีกครั้งด้วยลวดลายแปนียร์ (Panier) ที่จัดวางสลับกันอย่างประณีตเหมือนเกล็ด ที่ซ้อนกันอยู่รายรอบ พร้อมปิดท้ายชุดการออกแบบ ในลวดลายทั้งหมดด้วยแทร็คหรือ "รางรถไฟ" ที่มีขนาดเล็ก พร้อมกับชุดหน้าปัดย่อย เพื่อแสดงค่าวินาทีขนาดเล็ก ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา พร้อมการแกะสลักลวดลายกิโยเช่ ในแบบเดียวกันพร้อมโทนสีเข้มมากกว่า เพื่อให้เกิดมิติและสีสันที่สามารถแสดงให้เห็นได้ ในทันทีถึงความพิเศษของการทำงาน บนหน้าปัดที่ผลิตขึ้นอย่างประณีตตามแบบของแบรนด์นาฬิกาชั้นดีระดับโลก




